เวลาตี 2 ของวันอาทิตย์ที่ 15 พ.ย. 58 ในขณะที่ทุกคนหลับอยู่ มีนักวิ่งกลุ่มหนึ่งออกตัว เพื่อพิชิตเป้าหมายการวิ่ง Full Marathon ระยะ 42.195 km ในการแข่งขัน Bangkok Marathon 2015 ผมได้เข้าร่วมประสบการณ์อันยิ่งใหญ่ ในครั้งนี้ด้วย
การวิ่งในช่วง 10 km แรก กับ 10 km สุดท้าย ให้ความรู้สึก ต่างกันลิบลับ 10 km แรก สนุก สบาย วิ่งชิวๆ ในขณะที่ 10 km สุดท้าย เจ็บปวด แทบคลาน แต่ก็เข้าไปใกล้เส้นชัยมากกว่า ถ้าให้แลกกลับไปเริ่มวิ่งใหม่ก็คงไม่เอา ถึงตรงนี้ ก็เหลือเพียงว่าจะสู้ต่อ หรือจะ “หยุดวิ่ง” !!!
สมรภูมิระหว่าง ความคิดลบ และ ความคิดที่จะสู้ต่อ เกิดขึ้นในช่วง 10 km สุดท้าย ความคิดลบ บอกว่า หยุดวิ่งดีกว่า “เพราะทำลายสถิติตัวเองแล้ว” “นี่มันไม่ใช่ระยะวิ่งของมนุษย์” “ไปเล่นกีฬาที่สบายๆดีกว่ามั้ย”
ถึงตอนนี้ ก็ได้เห็นนักวิ่งหยุดเดิน แล้วออกจากการแข่งขันกลางทางไปไม่น้อย คนที่นำหน้าเราไป ก็มีมากเหลือเกิน
การอดทน ดูลมหายใจ ก้มหน้าวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ ทำให้มีความคิดดีๆ ผุดขึ้นมาว่า ผู้เข้าเส้นชัยสำเร็จ ก็คงเคยผ่านจุดนี้มาแล้วทั้งนั้น ไม่เปรียบเทียบกับผู้ที่วิ่งเร็วกว่า ไม่เปรียบเทียบกับผู้ที่วิ่งช้ากว่า ไม่สนอดีต ไม่คิดมากกับอนาคต ชัยชนะเกิดขึ้นตอนนี้แล้ว เมื่อเราไม่คิดวิ่งแข่งเพื่อชนะใคร ว่าแล้วก็ก้มหน้าวิ่งต่อไป ทีละก้าวๆ …ในที่สุด ก็วิ่งเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ ได้ระยะ มากกว่า 44 km ซะอีก !
แต่เป็นระยะวิ่งของยอดมนุษย์ 555+
ผ่านไป 1 วัน ก็มาทบทวนประสบการณ์ในครั้งนี้ จึงได้เรียนรู้ว่า ในชีวิตจริง ไม่ใช่เพียง 10 km สุดท้ายหรอก ที่จะแตกต่างออกไปจากเดิม ทุกๆก้าว ล้วนแตกต่างกัน ทุกๆวัน ไม่เคยเหมือนเดิมหรอก
วันนี้ ก็ไม่เหมือน เมื่อวาน พรุ่งนี้ ก็จะไม่เหมือน วันนี้หรอก สังเกตให้ดีๆ จะพบบางอย่างแปรเปลี่ยนไปให้เห็นอยู่เสมอ เมื่อเข้าใจการแปรเปลี่ยน เราก็จะมีชีวิตที่เป็นปกติสุข อยู่ร่วมกับความแปรเปลี่ยนนั้นได้
ขอเพียงรู้ว่า ทุกๆวัน แม้แปรเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะราบเรียบ หรือ ขรุขระ แต่ก็ล้วนอยู่บนเส้นทางสู่เป้าหมาย เป็นเพียงบางสิ่งให้เราได้ทำ เป็นเพียงบางสิ่งให้เราได้ข้าม ขอเพียงไม่หวั่นไหว ยืนหยัดต่อไป ทุกๆสิ่งที่ทำ ทุกๆก้าวที่เดิน เฉพาะหน้านั่นแหละ ก็คือ เป้าหมายแล้ว
คุณเคยท้อแท้ในเป้าหมาย เพราะ ความแปรเปลี่ยนไหม ? คุณออกจากเส้นทาง หรือ ก้าวต่อ